ก่อนจะพูดถึง เมล็ดเจีย หรือ เมล็ดเชีย (Chia Seed) นั้นก็ต้องบอกว่าในโลกเรานี้มีพืชพันธุ์ธัญญาหารหลากหลายชนิด บางชนิดซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกอันเร้นลับ ต้องใช้เวลายาวนานเหลือเกินกว่าคนเราจะดั้นด้นไปพบ ธัญญาหารบางชนิดที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความนิยมนำมารับประทานกันอย่างแพร่หลายในบางกลุ่มคน บางสังคม เมื่อห้วงเวลาผ่านไป คนกลุ่มใหม่ รุ่นใหม่ กลับหลงลืมไปจนไม่รู้จักในที่สุด ทั้ง ๆ ที่บางอย่างนั้นมากคุณค่า และล้ำค่าจนน่าเสียดายเมล็ดเจียก็เช่นกัน เป็นเมล็ดพันธุ์ธัญญาหารจากสรวงสวรรค์ที่ในยุคหนึ่งมนุษย์แทบจะลืมเลือนไป จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เมล็ดเจียได้กลับฟื้นคืนมาสู่ชาวโลกอีกครั้ง
หยาดเมล็ดแห่งสวรรค์ที่ครั้งหนึ่งโลกลืมเลือน
หลายคนคงเคยได้ยินชื่อเมล็ดเจีย หรือ เมล็ดเชีย (Chia Seed) กันมาบ้างแล้ว เจ้าเมล็ดเล็กละเอียดขนาดจิ๋ว ๆ ที่มีทั้งสีดำและสีขาวนี้ มองดูแล้วเหมือนอาหารนก หรืออาหารกระรอก ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่า นี่แหละ ธัญญพืชแห่งสวรรค์ที่ผู้คนลืมเลือน และเกือบพลาดคุณค่าที่ดีเลิศในตัวของมัน
ครั้งหนึ่งในยุคโบราณกว่า 3500 ปีก่อนปีคริสตกาล หรือก่อนที่พระเยซูจะทรงกำเนิดขึ้นบนโลกนี้ เมล็ดเจีย ได้ถูกค้นพบและนำมาเป็นธัญญาหารหล่อเลี้ยงผู้คนชาวมายันและชาวอาณาจักร แอสแท็กซ์ ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองแห่งทวีปอเมริกา พวกเขาจะนำเมล็ดเจียไปบดให้ละเอียดและนำมาผสมกับแป้ง นำไปคั้นให้ได้น้ำเพื่อใช้ดื่มเพื่อบำรุงร่างกาย และใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหารนานาชนิด เนื่องด้วยความเชื่อที่ว่าเมล็ดเจียเป็นธัญพืชที่มีสรรพคุณบำรุงกำลังนั่นเอง คำว่า “เจีย”หรือ “เชีย” นั้น มีความหมายโดยนัยว่า แข็งแรง
เมื่อถึงยุคล่าอาณานิคมที่ผู้คนต่างรู้สึกว่าตนสามารถเป็นใหญ่ได้ด้วยการข่มเหงชนเผ่าที่ดูเหมือนด้อยกว่าตัวเมล็ดเจียก็พลอยถูกข่มเหงไปด้วย จากการที่ชนชาติสเปน รุกรานมาถึงดินแดนอเมริกา ชนเผ่าเจ้าของเมล็ดเจียในแถบอเมริกาใต้ทั้งหมด ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศสเปน นั่นเป็นเสมือนอวสานของเมล็ดเจีย ที่ถูกสั่งให้ลืมกลายเป็นตำนาน ด้วยการเหยียดชนชาติทำให้คนพื้นเมืองอเมริกาใต้ถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพแม้แต่เรื่องปากท้อง เจ้าอาณานิคมอย่างสเปนในยุคนั้น สั่งห้ามไม่ให้มีการเพาะพันธุ์และบริโภคเมล็ดเจียต่อไปอย่างเด็ดขาด เมล็ดเจียจึงถูกลืมเลือนไปอย่างน่าเสียดาย คงจะมีก็เพียงผู้คนเพียงน้อยนิดที่ลักลอบปลูก ทำให้เมล็ดเจีย ยังคงมีอยู่บนโลกใบนี้ จนกระทั่งชนชาติยุโรปได้ไปตั้งรกรากยังทวีปอเมริกา และเกิดมีประเทศเสรีอย่างสหรัฐอเมริกาขึ้น เมล็ดเจียจึงได้ถูกค้นพบและทำให้เสมือนดังฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เมื่อมีนักวิทยาศาสตร์และนักพฤกษศาสตร์ได้ไปค้นพบเม็ดเจีย และนำมาวิจัยถึงคุณค่าและสรรพคุณของเจ้าพืชชนิดนี้ขึ้นใหม่
เมล็ดเจียไยจึงเล่าลือว่าเจ้ามาจากสวรรค์
ถ้าจะพูดถึงเมล็ดเจียแล้ว เจ้าเมล็ดพืชขนาดจิ๋วแสนมหัศจรรย์นี้ มิใช่เป็นเพียงตำนานแห่งความเชื่อของชนเผ่าโบราณเพียงเท่านั้น เพราะคนโบราณย่อมมีความรอบรู้ในศาสตร์ที่คนสมัยปัจจุบันมิอาจจะเข้าใจ จึงทำให้รู้ว่า เหตุใดจึงยกย่องเมล็ดเจียว่ามากประโยชน์และเป็นอาหารทิพย์ที่ทำให้แข็งแรง
เมล็ดเจียเป็นญาติในตระกูลเดียวกับต้นมิ้นต์และกะเพราะ มีชื่อที่ถูกตั้งในทางพฤกษศาตร์ว่า Salvia Hispanica L. ต้นของเจียนั้นมีความสูงพอประมาณความสูงของตัวคน คือ 5 ถึง 6 ฟุต เกิดเมล็ดขึ้นเป็นสีดำและสีขาว ซึ่งหากจะดูไปแล้วก็แทบจะคล้าย ๆ กับเม็ดแมงลัก ในแถบเอเชียบ้านเรานั่นเอง เพราะเมื่อนำเมล็ดเจียมาแช่ในน้ำก็พองตัวขึ้นมาก็ดูจะไม่ต่างอะไรกับเม็ดแมงลักนัก สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ เมื่อพองแล้ว เมล็ดของเจียจะพองใส ในขณะที่เม็ดแมงลักนั้นจะพองแต่เป็นเมือกขุ่น ๆ เมล็ดเจียขยายพันธุ์ได้ดีเมื่ออยู่ในภูมิประเทศที่มีอากาศเย็น
ปัจจุบันนี้เมล็ดเจียได้กลับมายิ่งใหญ่กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่นิยมเพาะปลูกกันมาก โดยเฉพาะในแถบบ้านเกิดของเมล็ดเจีย คือ ทวีปอเมริกา ทั้งเอควาดอร์ แมกซิโก ประเทศอเมริกาแถบทางใต้ โบลิเวีย อาร์เจนติน่า หรือแม้แต่ กัวเตมาลา แต่ด้วยความนิยมที่แพร่หลายมากขึ้นจึงมีคนนำข้ามทวีปมาปลูกถึงประเทศออสเตรเลีย และแม้แต่ในประเทศไทยเองก็ได้นำเจ้าเมล็ดเจียนี้มาปลูกกันแล้ว ในจังหวัด ลำปาง กาญจนบุรี และจังหวัดอื่น ๆ
เมล็ดเจียที่ว่าคล้ายกับเม็ดแมงลักนั้น แล้วอะไรกันที่แตกต่าง
ด้วยความที่มีคุณสมบัติในการพองตัวเมื่อโดนแช่ในน้ำคล้าย ๆ กัน ทำให้เจ้าเมล็ดเจียมักถูกเข้าใจผิดว่า เป็นเม็ดแมงลักอีกสายพันธุ์หนึ่งไปได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเมล็ดเจียมีความแตกต่างจากเม็ดแมงลักหากลองดูให้ดี เมื่อยังแห้งอยู่ เมล็ดเจียจะมีลวดลายที่ผิวเปลือกของเมล็ด และยังมีสีน้ำตาลอมเทา ในขณะที่ เม็ดแมงลักแห้งนั้นมีสีดำสนิท และไร้ลวดลายใด ๆ เมื่อทั้งสองชนิดถูกนำไปแช่น้ำแล้ว เมล็ดเจียจะพองตัวเป็นสีใส ๆ บริสุทธิ์ ในขณะที่เม็ดแมงลักจะพองตัวแต่เป็นสีขุ่นขาวเมือก
พรอันเป็นคุณค่าแก่ร่างกายที่ได้จากเมล็ดเจีย
เมื่อนักวิทยาศาสตร์โภชนาการแห่งสหรัฐอเมริกา ได้นำเมล็ดแห่งสวรรค์นี้เข้ามายังห้องแล็ป เพื่อพิสูจน์ว่า เมล็ดขนาดจิ๋วนี้จะมีสรรพคุณและประโยชน์มากมายดังที่ร่ำลือกันหรือไม่ กลับได้พบและตื่นตะลึงกับสรรพคุณที่ไม่เล็กตามขนาดของเมล็ดเจีย และยกย่องให้เมล็ดเจียเป็นทั้ง SUPER SEED และทั้งยังเป็น SUPER FRUIT อีกด้วย โดยกระทรวงเกษตรแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ United State Department of Agriculture ได้แยกคุณค่าสารอาหารที่มีอยู่นเมล็ดเจียจิ๋ว ๆ ออกมาได้ว่า มีสารอาหารอัดแน่นนานาชนิดที่เป็นคุณประโยชน์แก่ร่างกาย คือ กรดไขมันชนิดตัวดี ทั้งโอเมก้า 3 และ ตัวโอเมก้า 6 สารต่อต้านอนุมูลอิสระ ชลอความแก่และต้านมะเร็ง ไฟเบอร์ที่เป็นกากใยช่วยในการขับถ่ายและล้างร่างกายภายใน อีกทั้งแคลเซี่ยมและโปรตีนด้วย หากจะรับประทานโดยนำ เมล็ดเจีย ไปผสมกับเครื่องดื่มเหลวหลากหลายชนิด เช่น น้ำผลไม้ นม หรือแม้กระทั่งน้ำเปล่าเมล็ดเจียก็จะพองตัว ขึ้นได้ถึง 12 เท่า จะใส่ไปทั้งเมล็ดเต็มสมบูรณ์ หรือนำไปบดก่อนนั้นก็ตามแต่จะชอบ ยิ่งหากนำไปใส่ใน น้ำทับทิม หรือน้ำผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่าง ๆ ก็จะยิ่งให้คุณค่าประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นด้วย
สารอาหารหลากหลายจากอณูเล็ก ๆ ของเมล็ดเจีย จากสวรรค์
จากที่ได้ทราบไปบ้างเกี่ยวกับสรรพคุณและประโยชน์อันหลากหลายของเจ้า เมล็ดเจีย ขนาดเล็กจิ๋วนี้ไปแล้ว ว่าช่างมีประโยชน์อันหลากหลาย แต่ก็ดูจะเป็นการกล่าวที่เลื่อนลอยไปสักหน่อย เราลองมาดูถึงสารอาหารต่าง ๆที่ได้จากเมล็ดจากสวรรค์นี้กัน แบบละเอียดและแยกเป็นรายการกันว่าในเมล็ดเล็ก ๆ นั้นมีสารอาหารใดบ้าง เริ่มจากโปรตีน น้ำ ไขมัน ไฟเบอร์ พลังงาน ธาตุเหล็ก แคลเซี่ยม แมกนีเซี่ยม โปรแทสเซี่ยม โซเดี้ยม ฟอสฟอรัส ซิงค์ วิตามิน เอ 3 และวิตามินบี 1 บี2 บี3 และบี6 กรดไขมันต่าง ๆทั้งตัวที่อิมตัว อิ่มตัวเชิงซ้อน และไม่อิ่มตัว เรียกได้ว่าแทบจะครบทุกสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ฉะนั้นจึงสมคำร่ำลือและสมฉายานามเมล็ดพันธุ์จากสรวงสวรรค์ทีเดียว
เมล็ดเจียหยิบยื่นสุขภาพดีให้คืนกลับสู่มวลมนุษย์
ด้วยคุณค่าและสารอาหารที่มีประโยชน์อันอุดมแน่นอยู่ภายในเมล็ดเล็กจิ๋วนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ย่อมจะนำพาซึ่งสุขภาพที่ดีคืนกลับให้กับผู้รับประทานเมล็ดจียนี้แน่นอน ซึ่งเราก็ได้มีการรวบรวมคุณประโยชน์ต่อร่างกายมาให้ได้รู้กันอีกด้วย
1. เป็นเคล็ดลับแห่งความงามที่ทำให้ผู้รับประทานดูเยาว์วัย ไม่แก่เร็ว นั่นก็เพราะคุณสมบัติของสารช่วยต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่นั่นเอง หากราชินีคลีโอพัตราเกิดที่ทวีปอเมริกาในครั้งอดีตกาล นอกจากน้ำนมและน้ำผึ้งแล้ว พระนางงคจะต้องดื่มกินเมล็ดเจีย เพื่อความมเยาวัว์ยอย่างแน่แท้
2. ช่วยเพิ่มแรงกำลังยามที่ต้องการ เมล็ดเจียเป็นแหล่งกำลังและพลังงาน ให้กับเราได้เพียงแค่ผสมเครื่องดื่ม ดื่มโดยทันทีเราก็จะได้พลังงานอย่างเร่งด่วนและสะดวกดายอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะอย่าลืมว่า ในเมล็ดเจียมีส่วนประกอบของโปรตีนและสารอาหารอื่น ๆ ครบครัน
3. ไม่มีทางทำให้เราอ้วน
เมล็ดเจีย มีไฟเบอร์ที่ช่วยในการขับถ่าย อีกทั้งไม่ได้มีไขมันปริมาณมากไปพอกพูนตามจุดต่าง ๆ ในร่างกายเราด้วย ดังนั้นไม่ว่าคุณจะดื่มหรือทานเมล็ดเจียมากเท่าใดก็ไม่มีทางที่จะอ้วนเลย
4. ช่วยระบายลดอาการท้องผูก
อย่างที่ทราบว่ามีทั้งกากใยและไฟเบอร์ เมล็ดเจีย จึงเป็นตัวช่วยให้ร่างกายมีการระบาย และมีระบบขับถ่ายอันยอดเยี่ยมอีกด้วย
5. เมล็ดเจียให้ความรื่นรมย์
เชื่อไหมว่าเมื่อเราดื่มหรือทานเมล็ดเจีย นอกจากสุขภาพกายที่ดีแล้ว ยังได้อารมณ์ที่ดีสดใสอีกด้วย เพราะว่าในเมล็ดเจียนั้น มีส่วนประกอบด้วย กรดอมิโนทริปโทเฟ่น ทำให้หลับสบายและทำอารมณ์ผ่อนคลาย
6.เมล็ดเจียทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่ขาดสารอาหารใด ๆ
ดั่งที่ได้ทราบองค์ประกอบสารอาหารในเมล็ดเจียไปแล้ว ว่ามีมากมายเพียงใด นั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงช่วยไม่ให้ขาดสารอาหาร แม้แต่คนที่เบื่ออาหารทานน้อย ผู้ป่วยพักฟื้นหรือแม้แต่คนที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนักก็ตาม
แล้วใครกันที่ไม่ควรรับประทานเมล็ดเจียแห่งสวรรค์
แน่นอนว่ากฏธรรมดาแห่งโลกนี้ ไม่ว่าของสิ่งใด ๆ ในโลกย่อมมีสองด้าน ขาวและดำ คุณและโทษ และมีข้อยกเว้นเสมอ ไม่เว้นแม้แต่เจ้าเมล็ดเจียนี้เช่นกันผู้ที่ไม่ควรบริโภคเมล็ดเจีย หรือบริโภคแต่น้อย ได้แก่
- ผู้ที่กำลังมีโปรแกรมเพื่อเข้าผ่าตัดในกรณีต่าง ๆ และผู้ที่รับประทานยาแอสไพรินติดต่อกันในระยะเวลานานๆ ไม่ควรรับประทานเมล็ดเจียเพราะเมล็ดเจียมีคุณสมบัติที่จะไปทำให้หลอดเลือดบางหรือเลือดแข็งตัวช้าได้
- ผู้ที่มักมีภาวะความดันต่ำ เพราะเจ้าเมล็ดเจีย จะไปช่วยทำให้หลอดเลือดคลายตัวลง ทำให้ภาวะเลือดต่ำลงไปยิ่งกว่าเดมิอาจจะเกิดอาการช็อคได้ ไม่ควรทานพร้อม วิตามิน บี 17 ในช่วงระยะเวลานั้นนาน ๆ เพราะอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาของทั้งสอง และเกิดเป็นสารก่อมะเร็งได้ แม่ที่ให้นมบุตรไม่ควรทาน เพราะอาจจะทำให้สารต่าง ๆ ที่มีในน้ำนมเปลี่ยนไป
- ผู้ที่มีปัญหาในระบบย่อยอาหาร มีกรดมาก มีกรดไหลย้อน หรือแก๊สมากในกระเพาะ เพราะว่าเส้นไฟเบอร์ที่มีกากใย จะไปพองตัวอยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้ ถึง 25% ทำให้กระตุ้นการผลิตน้ำย่อยเพิ่มขึ้นได้
- ผู้ชายควรรับประทานน้อยกว่าผู้หญิง เนื่องจาก หากรับประทานมากเกินไปอาจจะมีผลต่อต่อมลูกหมากได้ และอาจเลยไปถึงก่อให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมากหากรับประทานในปริมาณเกินไปมากๆ
ปริมาณของเมล็ดเจียต่อคนวัยต่าง ๆ นั้นต่างกัน
เมล็ดเจียนั้น หากต้องการจะรับประทานให้ได้ประโยชน์ที่เหมาะสมที่สุดต่อทุกเพศและทุกวัยนั้น ก็ต้องรับประทานในปริฒาณที่เหมาะสมกับคนแต่ละคนดังนี้
วัยเด็กที่มีอายุไม่เกิน 10 ขวบ รับประทานได้ไม่เกิน 1 ช้อนโต๊ะต่อหนึ่งวัน วัยเด็กเริ่มโตและวัยรุ่นในอายุ 5 ถึง 18 ปี ซึ่งถือว่าเป็นวัยที่กำลังเติบโต รับประทานได้ 1.4 กรัม ถึง 4.3 กรัมในแต่ละวัน ส่วนวัยผู้ใหญ่ก็สามารถรับประทานได้ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน ส่วนผู้ป่วยด้านหลอดเลือดหัวใจนั้น ต้องรับประทานแต่น้อยมาก ๆ ในปริมาณ สามเดือนครั้ง และครั้งละเพียง 33 กรัม ถึง 41 กรัม
เมื่อมีเมล็ดพันธุ์แห่งสวรรค์มาให้ได้ลองรับประทานกัน หากผ่านไปหรือได้พบเห็นมีโอกาสซื้อหาหรือลิ้มลองเม็ดเจีย ก็ดูน่าจะเปิดโอกาสให้ตนเองได้ลิ้มลองเมล็ดพันธืขนาดจิ๋วมากประโยชน์ และมีตำนานอันน่าสนใจ มีคุณค่านี้สักครั้งก็คงจะดีไม่น้อย